Shokz OpenRun หูฟังไร้สาย ระบบ Bone Conduction
หูฟังจากทาง Shokz ในรุ่น OpenRun เป็นหูฟังที่ใช้ไดร์เวอร์แบบพิเศษ Bone conduction ครับ โดยในรุ่นนี้นั้นจะใช้ไดร์เวอร์รุ่นใหม่ รวมไปถึงการออกแบบใหม่อีกด้วยครับ
การออกแบบและบรรจุภัณฑ์
สำหรับหูฟัง Shokz OpenRun นั้นจะเป็นหูฟังไร้สายชนิด Bone conduction ที่เป็นไดร์เวอร์ชนิดพิเศษ ใช้การส่งแรงสั่นสะเทือนผ่านกระดูกแก้มเพื่อให้เราได้ยินเสียงโดยที่ไม่ผ่านแก้วหูครับ โดยจะสวมใส่แบบแปะไว้ที่ด้านหน้าช่องหู ทำให้เราได้ยินเสียงรอบๆตัวอีกด้วยครับ ออกแบบมาให้สวมใส่ได้อย่างกระชับ ไม่หลุดร่วงระหว่างการออกกำลังกายแน่นอน และในรุ่นนี้นั้นจะมีน้ำหนักที่เบา โดยจะอยู่ที่ 26 กรัม โดยภายในกล่องนั้นจะมาพร้อมกับซองใส่ และสายชาร์จ
อุปกรณ์ในกล่อง
• 1 x Shokz OpenRun
• 1 x สาย USB
• 1 x ซองผ้าสำหรับพกพา
• 1 x คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
การใช้งาน
ในส่วนของการใช้งานนั้น Shokz OpenRun จะใช้การเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth 5.1 โดยสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 8 ชั่วโมง
สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่นั้น Shokz Openrun จะใช้ช่องชาร์จแบบพิเศษครับ โดยจะต้องใช้สายที่แถมมาให้ในกล่องเท่านั้น
ภายในของ OpenRun นั้นจะใช้ชุดไดร์เวอร์ Premiumpitch 2.0+ ซึ่งเป็นไดร์เวอร์รุ่นล่าสุดที่ออกแบบให้เสียงที่ส่งออกมานั้นมีรายละเอียดที่ดีขึ้น เบสลงได้หนักขึ้นครับ
นอกจากนี้ในส่วนของบริเวณที่สวมใส่นั้น ทางแบรนด์ก็ได้ออกแบบใหม่ให้ทำมุมได้ดีกว่าเดิม ช่วยให้ได้ระดับเสียงที่ดีขึ้น รายละเอียดต่างๆฟังได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงลดแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้บางคนรู้สึกไม่สบายเวลาสวมใส่ด้วยครับ
คุณภาพเสียง
เสียงเบส - เบสของ OpenRun นั้นจะมากกว่ารุ่นก่อนหน้าครับ สามารถสัมผัสได้ถึง deep bass ได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ฟังได้อย่างเต็มอารมณ์มากขึ้น
เสียงร้อง - เสียงร้องมีความชัดเจน ฟังง่าย แต่รายละเอียดอาจจะไม่เยอะมากเท่ากับหูฟังทั่วๆไปครับ แต่ก็ฟังได้อย่างไม่ขัดเขิน ตำแหน่งนักร้องจะอยู่ใกล้ตัว
เสียงแหลม - ย่านเสียงแหลมไม่จัดมากนัก รายละเอียดเล็กๆน้อยๆฟังได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นเสียงกรุ๊งกริ๊งต่างๆนั้นชัดขึ้นมาจากรุ่นก่อนเลยครับ
เวทีเสียง - เวทีเสียงไม่กว้างมากนัก รายละเอียดต่างๆจะอยู่ใกล้ๆกัน โดยทั้งเครื่องดนตรีและนักร้องจะอยู่ใกล้ๆตัวผู้ฟังเลยครับ
สรุปเกี่ยวกับหูฟังไร้สาย Shokz OpenRun
สำหรับหูฟัง Shokz OpenRun นั้นเรียกได้ว่าปรับปรุงจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนลยครับ ทั้งน้ำหนักที่เบาขึ้น แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานกว่าเดิม การสวมใส่ที่พอดีขึ้น และรายละเอียดเสียงที่ครบถ้วนขึ้นกว่าเดิม ถึงแม่จะไม่เยอะเท่าหูฟังแบบปกติ แต่ก็ช่วยให้ออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่เลยล่ะครับ